--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
“ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ที่เอาแต่เฝ้ามองแบบนี้ รู้สึกว่าความว่างเปล่ามันหายไป...”
[Wayu & Taradon] [วายุ & ธราดล]
19/11/2016
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
รู้อะไรหรือเปล่า? ผมนั่งเรียนอยู่ในชั้นของผมมาได้เกือบ 3 ชั่วโมงแล้ว ผมจับจ้องไปยังนาฬิกาแขวนบนหน้าชั้นเรียน แสร้งทำเป็นฟังในสิ่งที่ครูสอนไปงั้นแหละ ใจจริงผมหิวมื้อเที่ยงเสียจนอยากจะออกไปสอนแทนครูให้จบไวๆอยู่แล้ว
แต่สุดท้ายก็ต้องโดนครูด่าอยู่ดี เพราะเมื่อมองไปรอบห้องแล้ว ก็มีแต่คนฟุบหลับ บ้างก็แอบกินขนม แอบถ่ายรูปหลุดเพื่อน แอบดูรูปดาราเกาหลี แอบวาดรูปหน้าครู บางคนนั่งทำหน้าโง่ๆเอามือเกาไข่
สุดท้ายก็เป็นไปตามที่คิด ครูตบโต๊ะเสียงดังลั่น ด่าฉอดๆๆๆ แล้วสั่งการบ้านเป็นกอง พร้อมกับเดินออกห้องเรียนไป ทั้งๆที่บนบอร์ดยังสอนไม่เสร็จเลยนะ... ดูเหมือนครูจะปล่อยก่อนเวลาเสียอย่างนั้น
ไม่รอช้า พวกนักเรียนก็กลับมาแหกปากเสียงดังเหมือนเดิมอีกครั้ง... จริงๆเลยนะ ห้องของผมเนี่ย
“โอ๊ยยย! การบ้านอีกแล้ว สั่งอะไรนักหนาวะ”
เพื่อนคนสวยที่นั่งอยู่ข้างๆผม บ่นออกมาเสียงดัง พร้อมกับทำปากเบะมองบน เธอคนนี้เป็นเพื่อนสนิทของผม ชื่อว่า ‘เคธี่’ เธอเป็นลูกครึ่งไทย-อังกฤษ ที่มีบุคลิกดุโหด แต่ก็มีความเป็นผู้หญิ๊งผู้หญิง มีฝีปากเด็ด เก่งเรื่องการจับผิด มีรสนิยมดูดีมีราคากว่าใครๆ ทั้งห้องต่างยกฉายาให้เธอว่า ‘Princess’
สิ้นเสียงเคธี่ไปได้ไม่ทันไร ก็มีเสียงของอีกหนึ่งสาวเข้ามาสมทบการบ่น
“เออใช่ กะจะไม่ให้พวกเราได้พักเลยใช่ไหมเนี่ย”
เสียงหวานทุ้มของแม่สาวคนนี้ เธอมีชื่อว่า ‘บุหลัน’ เป็นสาวร่างท้วมท่าทางใจดี อบอุ่น และเป็นมิตร แต่ความจริงแล้วก็มีนิสัยเหมือนคุณแม่ดีๆนี่เอง เธอเป็นลูกครึ่ง ไทย-อินโดฯ และเป็นหนึ่งในเพื่อนสนิทของผมเช่นกัน บุหลันเป็นผู้ปรึกษาที่ดี ใครๆก็เกรงอกเกรงใจ ต่างเรียกบุหลันกันทั้งชั้นว่า “คุณแม่ของห้อง”
นอกจากนี้ ผมก็ยังมี ‘สายฝน’ อีกคนหนึ่ง ที่เป็นเพื่อนสนิทของผม แต่ว่าเธอไม่ได้อยู่ห้องเดียวกับผมหรอกนะ
“ป้ะ ไปหานังสายฝนกัน ไปหาอะไรกินแก้เซ็งกันเถอะวายุ ”
ใช่แล้ว อ่านไม่ผิดหรอกนะ ผมมีชื่อว่า ‘วายุ’ วายุที่แปลว่าลมนั่นแหละ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงชื่อนี้ สงสัยเมื่อก่อนชอบเล่นกับลมหล่ะมั้งนะ ผมเป็นคนเงียบๆ ค่อนข้างเย่อหยิ่ง มีบุคลิกที่มั่นใจสุขุม โกหกเก่ง(แต่ดันมีเพื่อนซี้เป็นเคธี่) แต่จริงๆแล้วก็เป็นคนที่บ้าสุดขั้ว ชอบทำอะไรที่ชาวบ้านเขาไม่ทำกัน(ซึ่งนิสัยนี้ตรงเคมีกับสายฝน) และแน่นอน เป็นคนเรียบร้อยน่ารัก... เพียงแค่ฉากหน้าอ่ะนะ และผมเป็นโรคจิตชนิดหนึ่ง ที่ชอบเรื่องเศร้ามากๆๆๆๆๆๆๆ เพราะผมคิดว่า มันเป็นศิลปะทางจิตใจแบบหนึ่งอ่านะ ซึ่งความจริงแล้ว หัวใจของผมน่ะ
มันว่างเปล่ามาตลอด...
หืม... โม้เรื่องตัวเองสะยาวเชียว ตอนนี้พวกเราก็มายืนกันครบแก๊งค์อยู่หน้าโรงอาหารแล้วเรียบร้อย โดยที่มีสายฝนเสนอขึ้นมาก่อนว่า
“จะกินอะไรดี”
“กูไม่รู้” บุหลันตอบแบบตรงๆและตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“กินผู้ชายค่ะ” เคธี่ตอบแบบเล่นตลก โดยที่เพื่อนๆก็ยิ้มแบบเจื่อนๆเหมือนไม่รับมุข
“ไปเดินดูป่ะ” สุดท้าย ผมก็ต้องเอ่ยปากลากพวกชะนีไปตามล่าหาอาหารเที่ยงรับประทาน ซึ่งถ้าผมไม่ยอมลากพวกหล่อนไป คงได้กินผู้ชายจริงๆแน่
เวลาเลยมาเกือบ 40 นาทีแล้ว พวกเราเหลือเวลาอีกแค่ 2 คาบเรียนก็จะเลิกเรียน เอกลักษณ์ประจำกลุ่มของพวกเราคือ “เสียงมาที่หนึ่ง-ชอบบึ่งไปแรดชาย” กล่าวคือ ไม่ว่าพวกเราจะอยู่ที่ไหนก็จะเอะอะโหวกเหวกโวยวายเสมอ แถมยังชอบไปนั่งเรียงอยู่แถวๆสนามบอลเพราะไปดูผู้ชายเล่นกีฬาและพยายามดัจริตทำท่าทางให้ตัวเองดูสวยที่สุดเพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่เปล่าเลย เป็นนกกันทั้งนั้นแหละนะ
หลังจากที่พวกเราแวะดูผู้ชายเสร้จ ก็ขึ้นห้องเรียนเตรียมตัวเรียนวิชาต่อไป ไม่นาน 2 ชั่วโมง กริ่งสัญญาณเลิกเรียนก็ดังขึ้น ทำให้กลุ่มนักเรียนในตึกทยอยกันออกมา
“ไปหาอะไรกินกัน” สายฝนเสนอขึ้นมาในขณะที่กำลังเดินลงบันไดจากตึกเรียน
“เอาอีกละ เอะอะก็หาเรื่องกินนะยะ! เกรงใจหุ่นพวกฉันบ้าง” ทั้งบุหลันและเคธี่ก็เอ่ยปากออกมาแทบจะเป็นเสียงเดียวกัน ผมล่ะชินกับเหตุการณ์แบบนี้แล้ว ผมเองก็เกรงเหมือนกันว่า สักวันหนึ่งจะพุงป่องโดยไม่รู้ตัว เหอะๆ
“เฮ้ย พวกแก ไปเดินเล่นกันแถวนี้ก่อนนะ เอาหนังสือที่ยืมมาไปคืนห้องสมุดก่อน”
ผมตะโกนเรียกพวกแก๊งค์เพื่อน บอกพวกเขาว่าผมมีธุระต้องสะสาง แต่เปล่าเลย ผมแค่โกหก ความจริงแล้ว ไม่อยากโดนลากไปหาของกินล่อหน้าล่อตาต่างหาก เลยจะไปหามุมเงียบๆอ่านหนังสือฆ่าเวลา ปล่อยให้พวกนางโง่รอไปแล้วกัน
ไม่นานนัก ผมก็หาที่เหมาะแก่การอยู่เงียบๆได้สักที ที่ตรงนี้มีต้นไม้ต้นใหญ่และม้านั่งหินอ่อนอยู่ แต่ตรงนี้ เป็นที่ไกลจากตึกมาก จึงไม่ค่อยจะมีใครมาแถวนี้สักเท่าไหร่ เมื่อผมมองไปรอบๆแล้วไม่พบใคร ก็นั่งลงบนที่นั่งอย่างเงียบเชียบ พร้อมหยิบนิยาย Y ออกมาอ่านอย่างเพลิดเพลิน อีกสาเหตุหนึ่งที่ไม่อยากให้ใครมาอยู่ในระยะที่มองเห็น ก็เพราะว่าพวกเขาจะได้ไม่ต้องเห็นท่าทางแปลกๆของผม เวลาที่ผมอ่านเจอประโยคสุดฟินแล้วบิดตัวหรือไม่ก็ตีขาตัวเองอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาจะได้ไม่ต้องเห็นผมหลุดเก๊กขรึมอ่านะ
หลังจากที่นั่งอ่านอยู่นาน และขยับเขยื้อนแสดงกิริยาท่าทางต่างๆ จู่ๆก็มีเสียงหัวเราดังมาจากหลังต้นไม้อีกต้นที่อยู่ไม่ไกล ผมจึงหยุดนิ่งและมองหาบุคคลที่มาของเสียง เมื่อเพ่งมองไปดีๆแล้ว ก็เห็นเด็กผู้ชายร่างสูง น่าจะอายุราวๆ ม.ต้น เขาปรากฏร่างออกมา และเดินเข้ามาหาผมพร้อมกับถือลูกบาสและสะพายกระเป๋าเป้ข้างเดียว ดูจากท่าทางและการแต่งตัวล่ะก็ ถือว่าเป็นคนที่ดูดีนะ ผิวสีแทน คิ้วเข้ม ดวงตาคมมีสเน่ห์ โครงหน้าชัดเจน จมูกสันโด่ง รูปร่างสมส่วนหุ่นนักกีฬา ชุดนักเรียนออกนอกกางเกง และใส่รองเท้าแบบเหยียบส้น ... พวกเด็กเกรียนหรือเปล่านะ?
“อ่านเรื่องอะไรหน่ะ? ท่าทางสนุกเชียวนะ” เจ้าเด็กนี่ ถือวิสาสะ เข้ามานั่งด้วยหน้าตาเฉย แถมยังมีหน้ามาถามอีกว่าอ่านหนังสืออะไร ไม่คิดจะถามชื่อคนอ่านก่อนเหรอไง
“ไม่เคยเห็นมุมนี้ของคุณรองประธานฝ่ายกิจกรรมเลยแฮะ” เจ้าเด็ก ม.ต้น พูดเปรยขึ้นและส่งยิ้มให้ผม ตอนนี้ผมงงหนักมากว่าเขาต้องการอะไรกันแน่ จู่ๆก็เข้ามาคุยด้วย แถมยังแอบมองคนอื่นเขาอ่านหนังสืออีก ผมจึงทำเป็นไม่สนใจและลุกขึ้นเพื่อจะเดินหนี
“อ้าว จะไปไหนเหรอครับ อย่าเพิ่งไปสิ!” จะเด็กหนุ่มเรียกผมและเข้ามาจับไหล่ไว้ พร้อมยื่นใบเอกสารใบหนึ่งให้ผม
“ครูไชน์นี่ ฝากให้ผมเอาแผนการจัดกิจกรรมมาให้พี่น่ะครับ ผมตามหาตัวอยู่ตั้งนานแหน่ะ”
ผมหันกลับมาและรับใบเอกสารมาอย่างเงียบๆ แต่เจ้าเด็กไร้มารยาทนี่...
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆ ท่าทางที่พี่ทำเมื่อกี้นี้ มันตลกจริงๆนะครับ ฮ่าๆๆ ขอโทษด้วยนะครับที่แอบมอง เพราะกลัวว่าจะเข้าไปขัดจังหวะน่ะครับ อ้อ ผมชื่อว่าธราดล ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ขอตัวก่อนนะครับ”
เจ้าเด็กที่ชื่อธราดลอะไรนี่ พูดซะยาวเหยียด แนะนำตัวและก็ชิ่งหนีไปทั้งๆที่ยังไม่ได้ถามชื่อเราเนี่ยนะ? เฮ้อ ช่างมันเถอะ อย่างน้อยก็ขอโทษเป็นละกัน แล้วก็ไม่อยากเจออีกแล้วด้วย...
แต่เมื่อกี้ ตอนที่เขาขอตัวแล้ววิ่งออกไป ทำไมดูหล่อจัง...?
กรี๊ดดดดดดด! คิดอะไรบ้าๆ! ใครจะรู้สึกแบบนั้นกัน! ก็แค่อีเด็กที่ไหนไม่รู้มาทำความรู้จัก เฮอะ! ถึงจะเป็นผู้ชายคนแรกในชีวิตที่เข้ามาคุยกับเราก่อนก็เถอะนะ...
ผมสลัดเอาความคิดบ้าๆเมื่อกี้ออกไป และเดินกลับไปหาพวกแก๊งค์ชะนี เพื่อเดินกลับคอนโดกัน ใช่แล้ว พวกเราน่ะเป็นเด็กทุน สถาบันที่ผมศึกษาอยู่น่ะ เป็นสถาบันพิเศษ มีแต่เฉพาะลูกของคนระดับดีๆมีชื่อเสียงทั้งนั้นแหละ(แม้ว่าลูกของคนพวกนี้ จะไม่เอาไหนเลย) แต่พวกเราน่ะ เป็นเด็กที่สอบเข้าและชิงทุนเข้ามาได้เป็นส่วนน้อย จึงได้รับสิทธิพิเศษในการเช่าคอนโดใกล้ๆโรงเรียนฟรี ซึ่งทางโรงเรียนจะจ่ายให้ ส่วนพ่อแม่พวกผม ส่วนใหญ่ก็จะอยู่ที่ต่างจังหวัดไม่ก็ต่างประเทศ ไม่ค่อยมีเวลาหรอกนะ
พวกเรากลับมาถึงคอนโดแล้วก็แยกย้ายกันไปคนละห้อง ด้วยความเหนื่อยล้า ผมจึงจัดการตัวเองให้เสร็จสรรพแล้วพักผ่อนทันที เพื่อที่พรุ่งนี้ จะได้ตื่นมามีแรงไปเรียน
-------------------------------
รุ่งเช้าของอีกวันหนึ่ง ทุกๆอย่างก็ดำเนินไปตามชีวิตประจำวัน เรียน ทานอาหารเที่ยง ไปดูผู้ชายเล่นกีฬา อ่านหนังสือ และวันนี้ ก็เป็นวันศุกร์...
ซึ่งทุกๆวันศุกร์นั้น จะมีกิจกรรมชมรมหลังเลิกเรียน วายุเองก็ได้เลือกเข้าชมรม “Contemporary Club” เป็นชมรมที่เกี่ยวศิลปะการแสดงในแขนงต่างๆ ซึ่งก็คือ Voice , Act , Dance ในแต่ละสาขา ก็จะมี King และ Queen ประจำตำแหน่ง ซึ่งหมายความว่าผู้นำ โดยที่วายุเองก็ดำรงตำแหน่ง King ในแขนง Dance
King/Queen มีหน้าที่ควบคุมดูแลรุ่นน้องและสมาชิก และยังมีหน้าที่คอยรับคำสั่งรับงานจากครูชมรมเพื่อมาชี้แจงอภิปรายกับสมาชิกอีกด้วย ซึ่งวันนี้ มีหัวข้องานอยู่ 1 เรื่องที่ได้รับมอบหมายมา นั่นก็คือ “White Flowers” คือ ความสะอาดบริสุทธิ์ดั่งดอกไม้สีขาว
ในฐานะที่วายุอยู่ในการแสดงแบบเต้นรำ ก็ต้องคิดออกแบบการเต้นในคอนเว็ปต์ความบริสุทธิ์
“นี่ๆ วายุ เธอพอจะคิดอะไรออกบ้างไหม?” หญิงสาวหนึ่งในสมาชิก สะกิดไหล่แล้วถามคำถามกับผม
“อ่า ยังเลย เธอล่ะ มีอะไรจะเสนอหรือเปล่า”
“ฉันคิดว่า มันก็คือการตกหลุมรักล่ะมั้งนะ?”
“งั้นหรอกเหรอ...” ก็เข้าใจอยู่หรอกนะ แต่ฉันไม่เห็นจะรู้สึกอะไร ว่ามันเกี่ยวข้องกับความบริสุทธิ์ตรงไหน
ผมจึงได้แจ่ตอบกลับไปว่า “งั้นฉันขอเวลากลับไปคิดก่อนนะ ไว้ยังไง ฉันจะมาบอกละกัน เะอก็คิดไว้ด้วยล่ะ แล้วเจอกันนะ”
หัวข้อนี้ มีเวลาคิดเพียงแค่ 2 สัปดาห์เท่านั้น อีก 4 สัปดาห์ที่เหลือ จะเป็นการฝึกซ้อม
ต้องนึกให้ออกให้ได้!
[เย็นวันนี้]
ระหว่างทางที่กำลังจะเดินออกจากโรงเรียน ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่า นัดกับพวกแก๊งค์ชะนีไว้ที่ข้างสนามบาส ผมจึงรีบไปหาพวกเธอ ก่อนที่จะโดนโวยวาย เผลอคิดถึงเรื่องชมรมมากไปหน่อยจนเกือบลืม
“อ้าว ทำอะไรกันน่ะ ชะนี?”
หลังจากทักทายไป เคธี่ ก็หันมากวักมือเรียกผมด้วยท่าทางกระตือรือร้น
“มึงๆๆๆ มาดูนี่” ผมจึงเดินไปข้างๆเธอเพื่อไปดูสิ่งที่เธอพูดถึง
“เห็นไอ่น้องคนนั้นป่ะ นั่นๆๆ ที่กำลังจะชู้ตลูกบาส” ผมปรายตามองไปตามที่เธอชี้ และก็เห็นเป้าหมายที่พูดถึง
“อือ ทำไมหรอ” ต้องมีอะไรแน่ๆ ผมจึงถามออกไปโดยที่ยังไม่ได้สังเกตดีๆ
“เนี่ย มึง ได้ข่าวมาว่า เด็กใหม่ ม.3 เป็นนักกีฬา หล่อ เฟรนด์ลี่ น่ารัก สูง ผิวแทน คือแบบ เป๊ะอ่ะแกรรร ซึ่งก็คือ ไอ่น้องนั่นแหละ กูมาดูนางเล่นได้สักพักแล้ว โคตรเท่ กรี๊ดดดดดดดด ตกหลุมรักเลยยย”
จ้าาาา ยัยบ้าผู้ชาย แต่พอได้ฟังแล้วก็รู้สึกคุ้นๆ ผมจึงมองไปดีๆอีกครั้ง
“วายุ มึงรู้จักชื่อน้องเขามั้ยวะ”
อืมมมม หรือว่าจะเป็น...
“ธราดล...” เห้ย! หลุดปาก ซวยแล้ว
“อ่าว มึงรุ้ด้วยเหรอ ชื่อเท่ห์ดีเนอะ ว่าแต่รุ้ได้ไง มีซัมติงรึไงยะ” ถูกยัยเพื่อนตัวดีจับได้จนได้สิ
“อ๋อ คนในชมรมพูดถึงน่ะ ตอนแรกก็คิดว่าไม่ใช่ก็เลยลองพูดดูอ่ะ อาจจะไม่ได้ชื่อนี้ก็ได้ 555555” แก้ตัวแปลกๆเนอะ ว่ามั้ย ผมได้แต่หัวเราะแบบแห้งๆให้พวกเธอ
“โถ่ นึกว่ารู้จริงเสียอีก งั้น เอางี้ มึงไปสืบมาให้กูนะ”
“ห๊ะ เอาจริงดิ ทำไมไม่ไปเองล่ะ” จะบ้าหรือไงกัน ไม่ได้หน้าด้านขนาดนั้นเฟร้ย -.-
“เหอะน่าาา อ๊ะ พ่อโทรมา มีธุระด่วน กุไปก่อนนะ ฝากด้วย แต๊งกิ้ว บ๊ายบายยย อิอิ”
E dok สุดท้ายพวกนางก็ชิ่งหนีกลับบ้านไปก่อน ปล่อยให้ผมต้องนั่งอยู่ข้างสนามบาสคนเดียว เห้ออออออ...
ผมมองออกไปยังสนาม เพ่งชายหนุ่มที่เป็นเป้าหมายในภารกิจ “เล่นเก่งเหมือนกันนะเนี่ย”
คนถูกชมไม่รู้ตัว ยืนหัวเราะและปาดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วเล่นต่อ เป็นภาพที่ดูสดใสจริงๆ ผมเผลอยิ้มออกมาไม่รู้ตัว พลางจับแก้มตัวเอง เดี๋ยวๆๆ นี่เราเป็นอะไรไป ไม่ๆๆ หยุดความคิดเอาไว้ๆ
ผมไม่รู้ตัวเลย ว่าผมนั่งอยู่ตรงนั้นไปนานแค่ไหนแล้ว และตะวันก็ใกล้จะลับฟ้า ผมจึงก้มมองนาฬิกาข้อมือ แต่ยังไม่ทันจะได้เงยหน้าขึ้น ก็...
“อ้าว เจอกันอีกแล้ว พี่มาทำอะไรตรงนี้ ยังไม่กลับบ้านเหรอ ทำไมยังไม่กลับอ่ะ”
ผมสะดุ้งเล็กน้อย มองหน้าคนถามขวับ แต่เดี๋ยวก่อนนะ เมื่อกี้ถามเยอะไปแล้ว ฉันตอบไม่ทัน! ค่อยๆถามเซ่ -*-
“อ่ะ อ้อ ใช่ๆ นั่นแหละ กลับบ้านดีกว่า แฮะๆ ” ผมตอบไม่เป็นคำ ไม่รู้ว่าฟังคนถามไม่ทัน หรือกำลังลนลานอยู่
“งั้น กลับด้วยกันสิ รอแป๊บนึงนะ อยู่ตรงนี้ ห้ามไปไหนล่ะ” เอิ่ม คงไม่ใช่การบังคับหรอกใช่มั้ย
อีกฝ่ายหันหลัง มุ่งหน้าไปยังห้องน้ำของยิม ผมจึงนั่งรออยู่ที่เดิม แต่ว่า... มันจะไม่แปลกเกินไปหน่อยเรอะ ตั้งแต่เจอกัน แกก็ยังไม่ได้ถามชื่อข้าเลย บ้าไปแล้ว
ไม่นานเกินรอ อีกฝ่ายก็กลับมาในชุดนักเรียน และผมที่เปียกนิดๆ เหมือนเพิ่งจะแห้งมากกว่า
“เป็นยังไง เร็วมั้ย” คำถามตามมารยาทเวลาที่ให้คนอื่นรอควรจะเป็น รอนานไหม ไม่ใช่เรอะ ไอ้นี่ แหน่ะๆ ยังจะมีอวดยิ้มให้อีก หึ่ยยยย
“ขออบคุณนะ ที่รอ แล้วพี่ชื่ออะไรเหรอครับ”
เออ! กว่าจะถาม นึกว่าต้องคุยแบบโนเนมซะละ
“วายุ” ผมตอบอีกฝ่ายแบบไม่มองหน้า แถมยังพูดเสียงเบาอีก ไม่ได้เขินหรืออายหรอกนะ ก็ ก็แค่ไม่อยากบอกแค่นั้นเอง จริงๆนะ > <
“ชื่อน่าฟังจัง ^ ^” ยะ อย่ายิ้มแบบนั้นสิ ฉันไม่ได้เขินนะ แค่ไม่อยากมอง หยุดยิ้มแล้วหันไปทางอื่นได้แล้ว งือออ
“ป่ะ กลับกันเถอะ เดี๋ยวผมไปส่ง” เฮอะ คิดว่าจะไปส่งแล้วจะทำให้ฉันใจอ่อนหรือไง เปล่าเลยยยย ถ้าอยากรู้จักฉันมากกว่าชื่อ ยังเร็วไปอีก 10 ปี
ผมก้าวเท้าช้าๆ โดยมีข้างๆเป็นหนุ่มหล่อ เอ้ย! ไม่ใช่ๆ รุ่นน้องที่ไหนไม่รู้ มาเดินส่งกลับบ้าน ระหว่างทาง ต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบ แต่อีกฝ่ายได้แต่หันมามองหน้าเป็นช่วงๆ ผมอดไม่ได้ว่าต้องการอะไร จึงรวบรวมความกล้าพูดออกไป
“มองอะไร มีอะไรก็พูดมาสิ”
“อ้าว เห็นด้วยเหรอ เอาแต่หันหน้าไปทางนั้น นึกว่าจะไม่เห็น ^ ^” คนอื่นถาม ก็หัดตอบบ้างสิวะเห้ย ไอ้นี่ มากเกินไปแล้ว
“ฉันถามนะ ไม่คิดจะตอบเหรอ”
“เปล่าหรอก แค่สงสัยน่ะ ว่าทำไมไม่มองทาง เอาแต่หันหน้าไปอีกทาง เดี๋ยวก็ชนเสาไฟฟ้าหรอก เป็นห่วงครับ”
..... I ..... Sus
ผมจึงหันกลับมามองหน้าอีกฝ่ายด้วยหน้าตาเคืองๆ กวนตีนหรอ ไอ้เด็กเมื่อวานซืน ไสหัวไปเลยยยย งอนแล้วววว
“ทำหน้าแบบนี้ โกรธหรอ?”
เออออออ ไม่เคยเห็นคนโกรธเหรอ เชอะ สะบัดหน้าใส่แม่งงง
“โอ๊ะ โกรธจริงด้วย 5555” ผมล่ะปลงกับไอ้เวรนี่จริงๆ นี่ตกลงกุเป็นเพื่อนเล่นมันใช่มั้ย
“เห้ออออ ไม่มีอะไรทำแล้วใช่มั้ยเนี่ย” ผมพูดเสียงแผ่วให้อีกฝ่ายโดยไม่มองหน้าเหมือนเดิม
“ก็ เห็นพี่เงียบตลอดทาง หันหน้าไปทางอื่น ยิ้มก็ไม่ยิ้ม คิดว่าคงมีเรื่องไม่สบายใจ ก็เลยอยากให้อารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง เท่านั้นเอง”
ไม่รู้อะไรดลบันดาลให้ผมหยุดเดิน และเขาก็หยุดเดินเช่นกัน ผมหันไปมองหน้าอีกฝ่ายเต็มตาแบบไม่รู้ตัว
“ในที่สุดก็มองผมจนได้ ^^” อีกฝ่ายยิ้มอ่อนให้ พร้อมกับหน้าของผมที่ร้อนขึ้นมาเล็กน้อย
“อืม ขอบใจ แต่ไม่เป็นไรหรอก” ผมพยามทำสีหน้าให้เป็นปกติ พูดอย่างเป็นปกติ คนคนนี้มันอะไรกันนะ
“พี่รู้ชื่อผมแล้วใช่มั้ย”
“อืม ธราดลไง”
“หืม นึกว่าจะจำไม่ได้ซะอีก ว่าแต่ พี่ชื่ออะไรนะ” เออออ ไม่ได้ความจำสั้นเหมือนแกเฟ้ย
“ก็ วายุ ไง จำไม่ได้เหรอ”
“55555 ขอโทษที อย่าถือสากันเลย ต่อไปนี้จะจำแล้วกันนะ”
เจ้าหมอนี่ เป็นเอามากนะเนี่ย แต่ช่างเถอะนะ
“เรียน ม.ปลาย ยากหรือเปล่านะ” ธราดลหันมาถามผมก่อน
“อืม ก็ยากอยู่นะ แต่ถ้าตั้งใจ ก็ไม่ยากหรอก”
“ปกติ อยู่คนเดียวเหรอ ไม่ค่อยเห็นอยู่กับเพื่อนเลย”
“อื้ม ทำนองนั้นแหละมั้ง แต่ก็มีเพื่อนสนิทแหละนะ” ซักจะสงสัยแล้วสิ ว่าหมอนี่แอบสตอล์กเกอร์เราหรือเปล่า
“แล้ว ไม่เหงาเหรอ?”
“ก็นิดหน่อย แต่ชอบอยุ่คนเดียวน่ะ มันสงบดี”
อีกฝ่าย ยิ้มให้กับคำตอบของผม “อาฮะ ผมเข้าใจๆ”
ณ ตอนนี้ ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว เวลาประมาณเกือบๆหนึ่งทุ่ม ทำให้เห็นดวงดาวประปราย ระหว่างทางเดินกลับบ้าน
“หืมม ดาวสวยเหมือนกันนะเนี่ย ไม่ได้มองดูนานแล้ว เนอะ ว่ามั้ย”
ธราดลชี้นิ้วออกไปบนฟ้า ให้ผมมองตาม
“อื้ม ไม่ได้เห็นมาตั้งนาน” ...
บนทางเดินกลับบ้านที่ท้องฟ้าถูกย้อมด้วยแสงเล็กๆ บนทางเดินกลับบ้านที่มีพุ่มไม้หย่อมๆ บ้านหลังเล็กหลังน้อยเรียงราย แสงไฟจากโคมเสา เป็นบรรยากาศที่ดูสวยงาม ถึงแม้จะดูเหมือนเป็นอะไรทั่วไป
“นี่ มาทางนี้ มัวแต่มองดาวอยู่ได้” ผมสะกิดเรียกอีกฝ่ายก่อนที่จะเลยทาง
“อ่าว 55555” อีกฝ่ายก็ยังคงยิ้มแย้ม หัวเราะเหมือนเคย ราวกับว่าชีวิตนี้ ไม่เคยมีเรื่องทุกข์ใจ หรือบางที เขาอาจจะเก็บซ่อนมันไว้ในใจเหมือนเราหริอเปล่านะ
“นี่ พี่เห็นเราร่าเริงตลอด ไม่เคยไม่เรื่องไม่สบายใจเลยหรือไง”
“ก็นะ ไม่อยากให้ใครต้องมาลำบากใจตามน่ะ ถ้าเราเอาแต่เศร้า คนอื่นก็จะต้องมาคอยปลอบเรา ผมแค่ไม่อยากรบกวนใครน่ะ ผมอยากที่จะรับฟังเรื่องของคนอื่นๆมากกว่า ผมก็เลยต้องร่าเริงอยู่ตลอด ไม่อยากให้พี่ต้องเศร้าไปด้วยหรอก ยิ่งพี่ชอบทำหน้านิ่งๆ ยิ้มบ้างก็ได้นะ ^ ^”
คำตอบของอีกฝ่าย ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นเล็กๆ แต่ก็ยังสงสารอยู่เหมือนกัน
“ไม่เห็นจำเป็นจะต้องทำแบบนั้นเลย คนเรา เก็บมันไว้ตลอดไม่ได้หรอกนะ”
“นั่นสินะ... แล้วพี่ล่ะ ทำไมถึงไม่ค่อยยิ้มเลย”
“พี่... แค่” เป็นคำถามที่อยากจะตอบนะ แต่มันช่างยากที่จะตอบเหลือเกิน
“ถ้าไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไรหรอก ไว้ผม จะรอฟังนะ” เฮอะ รู้จักฉันให้ได้สักเสี้ยวหนึ่งก่อนเถอะ!
ระหว่างทาง เต็มไปด้วยบทสนทนามากมายของเด็กหนุ่มทั้งสองคน พวกเขาพูดคุยกันอย่างเป็นกันเองภายในเวลาสั้นๆอย่างเหลือเชื่อ พวกเขาคงจะมีเคมีบางอย่างตรงกันล่ะมั้ง
“ถึงแล้วแหละ”
“อ้าว ที่นี่เองหรอกเหรอ อยู่ที่เดียวกันก็ไม่บอก”
“จริงดิ”
ผมประหลาดใจเล็กน้อย ที่ธราดลเอง ก็อยู่คอนโดเดียวกับผม อีกฝ่ายเองก็ประหลาดใจไม่น้อย
“บังเอิญจังเลยเนอะ ไม่กวนแล้วพี่ ไว้เจอกันนะ ฝันดีครับ” พอถึงแล้วก็ทิ้งไปดิ้อๆแบบนี้เลยเหรอ ใจร้ายชะมัด
“อื้ม เช่นกันนะ” ผมยิ้มบางและโบกมือให้อีกฝ่าย และมุ่งหน้ากลับไปยังห้องของตัวเอง
เรื่องราวในวันนี้เป็นอะไรที่พิเศษมาก ผมไม่เคยมีช่วงเวลาที่ได้สนทนากับใครมากเท่านี้มาก่อนเลย มันทำให้ผมรู้สึก... ไม่รู้สิ ไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกนี้อย่างไรดี มีแต่เสียงหัวใจที่เต้นรัวแรง และใบหน้าที่ยิ้มเขินอย่างมีความสุข นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับผมกันนะ ราวกับว่า ความว่างเปล่าในหัวใจมันหายไป...” นี่จะเรียกว่า ตกหลุมรักได้หรือเปล่านะ
[Taradon Zone]
ผมมักจะไปเล่นบาสช่วงหลังเลิกเรียนกับเพื่อนๆเสมอ แต่เพราะสนามบาสค่อนข้างห่างจากตึกเรียน จึงไม่ค่อยมีคนเยอะ แต่วันนี้ ผมรู้สึกได้ว่า มีใครบางคน แอบมองผมอยู่ตลอดการเล่น ผมจึงเล่นไปด้วย และชำเลืองดูรอบๆไปด้วย แล้วแล้วผมก็พบเป้าหมายของผม
พี่สภาคนเมื่อวานไม่ใช่เหรอ มาดูเราเล่นบาสตั้งแต่เมื่อไหร่
ผมเลิกสนใจเขาแล้วกลับมาเล่นต่ออีกประมาณ 15 นาที พอมองไปยังม้านั่ง ก็ยังคงเห็นเขาอยู่ที่เดิม แต่กำลังทำท่าทางระริกระรี้ ดูน่ารักชอบกล เป็นอะไรหรือเปล่าล่ะนั่น
ผมบอกลากับเพื่อนๆและแยกย้ายกันไป แล้วเดินตรงไปยังเป้าหมายของผมที่กำลังก้มมองนาฬิกาเรือนสวยบนข้อมือบางๆนั่น
ผมเขาไปทักอีกฝ่ายโดยไม่ให้ซุ่มให้เสียง อีกฝ่ายสะดุ้งนิดนึงและทำหน้าเหวอ 55555 ตลกดีนะ จากนั้นอีกฝ่ายก็ทำท่ากระอึกกระอัก เหมือนคิดอะไรไม่ออก แต่ก็กลับมาสงบนิ่งเหมือนเดิม
“กลับด้วยกันสิ รอแป๊บนึงนะ อยู่ตรงนี้ ห้ามไปไหนล่ะ” ผมสั่งให้เขาอยู่รอ เพราะผมไม่อยากกลับบ้านคนเดียว อีกอย่าง เขาคงไม่เหมาะที่จะเดินคนเดียวในช่วงเวลาใกล้มืดแบบนี้หรอกนะ ดังนั้น ผมจึงรีบไปที่ยิม เพื่อล้างตัวและเปลี่ยนชุดอย่างเร็วที่สุด เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้ไม่ต้องรอนาน
เมื่อผมกลับมาแล้ว เขาก็ยังคงอยู่ที่เดิม ไม่ขยับไปไหน ฟิ้ววว โล่งใจจัง ที่ยังไม่หนีกลับบ้านก่อน ผมจะเดินนำและบอกเขา ว่าจะไปส่ง อ้อใช่ ผมเพิ่งนึกได้ว่า ยังไม่รู้จักชื่อพี่เขาเลย ก็เลยถือโอกาสถามด้วย
ระหว่างทาง ผมสังเกตว่าเขาเอาแต่หลบหน้า และไม่คุยไม่อะไร ไม่ยิ้มไม่หือไม่อือ เป็นอะไรหรือเปล่านะ ลองเล่นด้วยหน่อยดีกว่า แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก อีกฝ่ายก็ชิงพุดก่อน แต่ก็ดี เพราะอีกฝ่าย เปิดก่อนได้อย่างดีมาก ผมจึงต่อให้ได้อย่างไม่ยาก
“เปล่าหรอก แค่สงสัยน่ะ ว่าทำไมไม่มองทาง เอาแต่หันหน้าไปอีกทาง เดี๋ยวก็ชนเสาไฟฟ้าหรอก เป็นห่วงครับ”
หึหึ เป็นยังไงล่ะ สกิลกวนประสาท แหน่ะๆ ผมเห็นอีกฝ่ายเริ่มยิ้มนิดหน่อย แต่ก็เปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็ว ดูท่าทางจะโกรธผมสะแล้วสิ แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังคงเล่นต่อไป
จนอีกฝ่ายก็ถามผมด้วยคำถามที่แสดงถึงความเหนื่อยหน่าย ผมจึงใช้โอกาสนี้ บอกจุดประสงค์ของผม
“ก็ เห็นพี่เงียบตลอดทาง หันหน้าไปทางอื่น ยิ้มก็ไม่ยิ้ม คิดว่าคงมีเรื่องไม่สบายใจ ก็เลยอยากให้อารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง เท่านั้นเอง”
จู่ๆ อีกฝ่ายก็ชะงักแล้วหันมามองหน้าผม เอ๊ะ ผมไปสะกิดอะไรโดนใจเขาหรือเปล่าหนอ แต่ไม่นาน เขาก็รู้สึกตัวแล้วหันกลับไปตามเคย แต่สีหน้าของเขาตอนนี้ ดูดีขึ้นเยอะกว่าเมื่อกี้มาก
สกิลกวนประสาทของผมใช้ได้เลยจริงๆ
เมื่อกี้ที่เขาหยุดมองผม ทำให้ผมแทบหยุดหายใจ เหมือนกับเวลาหยุดหมุน สมองตันอย่างไม่มีเหตุผล จนนึกถึงชื่อพี่เขาไม่ออก ก็เลยต้องถามอีกครั้ง
หลังจากที่เขาดูอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง ผมก็เลยชวนเขาคุยเรื่อยเปื่อย เขาก็ตอบมาอย่างปกติ ไม่เหมือนตอนแรกๆ ที่ถามอะไรก็ตะกุกตะกัก
พวกเราเดินไปคุยไป ในท่ามกลางบรรยากาศงดงามอันธรรมดาๆ ผมไม่ได้เห็นดาวมานาน วันนี้โชคดีมากที่ได้เห็นอีกครั้ง ระหว่างที่ดูดาวอย่างเพลิดเพลิน ก็เป็นอีกครั้งหนึ่ง ที่อีกฝ่ายยิงคำถามมาให้ผม หลังจากที่มีแต่ผมที่เป็นฝ่ายถามมาตลอด
“นี่ พี่เห็นเราร่าเริงตลอด ไม่เคยไม่เรื่องไม่สบายใจเลยหรือไง”
เป็นคำถามที่ยากที่จะตอบสำหรับผม แต่พี่วายุเป็นคนแรกที่ถามแบบนี้กับผม และเป็นคนแรกที่จะได้ฟังคำตอบของผม
“ก็นะ ไม่อยากให้ใครต้องมาลำบากใจตามน่ะ ถ้าเราเอาแต่เศร้า คนอื่นก็จะต้องมาคอยปลอบเรา ผมแค่ไม่อยากรบกวนใครน่ะ ผมอยากที่จะรับฟังเรื่องของคนอื่นๆมากกว่า ผมก็เลยต้องร่าเริงอยู่ตลอด ไม่อยากให้พี่ต้องเศร้าไปด้วยหรอก ยิ่งพี่ชอบทำหน้านิ่งๆ ยิ้มบ้างก็ได้นะ ^ ^”
ผมตอบอีกฝ่ายไป พร้อมๆกับเอาใจอีกฝ่ายไปด้วย แต่เมื่อผมถามคำถามคล้ายๆกันกับเขาบ้าง เขากลับนิ่ง และเหมือนจะไม่อยากพูด อืม ไม่เป็นไร ถ้าเขาไม่อยากก็จะไม่คาดคั้นแล้วกัน
เพื่อรักษาบรรยากาศ เราจึงกลับมาคุยกันปกติอีกครั้ง รู้ตัวอีกทีก็มาถึงที่หมายแล้ว
ผมประหลาดใจเล็กน้อย ที่เราอาศัยอยู่คอนโดเดียวกัน แต่ทำไมไม่เคยเจอกันเลยนะ อยู่ห่างชั้นกันมากล่ะมั้ง เราก็ไม่รู้หรอกว่าเขาอยู่ชั้นไหน แต่เอาไว้ค่อยถามละกัน
เหนื่อยมาตลอดทั้งวัน ผมก็อยากจะพัก จึงขอตัวกับอีกฝ่าย ก่อนที่จะลับสายตาไป ผมแอบหันชำเลืองแลมองอีกฝ่ายห่างๆ ก็เห็นพี่เขากำลังยิ้มอย่างสดใส
นี่เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ย ที่ได้เห็นรอยยิ้มที่สดใสขนาดนี้ ไม่เคยเห็นใครมีรอยยิ้มแบบนี้อีกแล้ว พอผมเห็น ก็อดที่จะแอบลอบยิ้มตามไม่ได้
รุ่นพี่คนนี้ ยังมีอะไรอีกมากมายที่เรายังไม่เคยรู้ ชักเริ่มจะน่าสนใจสะแล้วสิ
ไม่สิ ผมคิดว่า ผมชอบคนคนนี้เข้าให้แล้วแหละ
[ส่งท้ายตอน]
วายุกลับมาถึงห้องแล้ว ก็เอาแต่คิดถึงเรื่องต่างๆนาๆที่เกิดขึ้นในวันนี้ และยังค้นพบความรู้สึกใหม่ของตนเอง เป็นครั้งแรกที่เขารู้จักความรัก และแล้วเขาก็เก็ตไอเดียสำหรับหัวข้อชมรมแล้วล่ะ
“อ้อ ใช่ อาทิตย์หน้า เรียกรวมชมรมดีกว่า ฉันนึกอะไรดีๆออกแล้ว
พอคิดๆแล้ว วายุก็หลุดจากห้วงของชมรม มาสุ่เรื่องอื่นแทน
“ว่าแต่ เขาคนนั้นมีอะไรให้เราตกหลุมรักกันนะ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ”
วายุไม่รู้ตัวเลยว่า ขณะเดียวกัน อีกฝ่ายที่กำลังพูดถึง ก็กำลังคิดแบบเดียวกันกับเจ้าตัวอยู่...
_________________________________________________________
จบ ตอนที่1
*ติดตามตอนต่อไป*
[19/11/2016]
-วายุคิมหันต์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น